เฟซบุ้ค AIRLAB ได้เปิดเผยเบื้องหลังการถ่ายภาพพระเมรุมาศ ด้วยด้วยเทคนิคฟิล์มกระจกเปียก ซึ่งเป็นกระบวนตั้งเเต่ยุค 1850 เช่นเดียวกับการถ่ายพระเมรุมาศของรัชกาลที่ 4 ว่า...
"วันนี้จะมาเล่าเรื่องผ่านภาพของการไปถ่ายพระเมรุมาศของคณะเเอร์เเล็บกันครับ เเต่ไปทั้งทีเราไม่ได้ยกไปเเค่กล้องฟิล์มปกติไป กล้องที่เรานำไปคือกล้อง large format 5x7 โบราณอายุน่าจะหลัก100ปีได้ ทำไมถึงเรียก 5x7 ก็เพราะว่าขนาดฟิล์มที่ใช้กับกล้องตัวนี้จะได้ขนาด 5x7 นิ้วนั่นเอง(ใหญ่มากสำหรับการยกไปข้างนอก)
ความบ้าต่อมา นอกจะจะยกกล้องขนาดใหญ่ไปเเล้ว เราไม่ได้ไปถ่ายด้วยการใส่ฟิล์มเเบบปกติ (อธิบายง่ายๆว่า กล้องเหล่านี้ก็มีที่ใส่ฟิล์มเช่นกัน เรียกว่า holder ซึ่งถ้าใช้ฟิล์มที่มีขายตามตลาดก็ไม่ได้ยากมาก ก็คือโหลดใส่ฟิล์มจากที่บ้านไปถ่าย เเล้วก็เอากลับมาล้างในห้องมืดที่บ้านปกติ) เเต่ที่เราจะทำคือ การถ่ายด้วยเทคนิคฟิล์มกระจกเปียก หรือ wetplate collodian ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ ถ่ายพระเมรุมาศของรัชกาลที่๔ เช่นกัน เป็นเทคนิคตั้งเเต่ยุค 1850 อธิบายง่ายๆ คือ เป็นการผลิตฟิล์มเองสดๆนั่นเอง (เพราะยุคสมัยนั้นยังไม่มีบริษัทฟิล์มจำหน่ายนั่นเอง ช่างภาพก็เลยต่อทำสดๆทุกภาพ) เราอยากบันทึกภาพนี้ด้วยการถ่ายภาพเเบบเเรกที่เข้ามาในประเทศไทยนั่นเอง
เเต่หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการสร้างฟิล์มกระจกคือ "ห้องมืด" เพราะเรากำลังสร้างสารไวเเสงบนกระจกให้เป็นฟิล์ม ดังนั้น ถ้าทำเล่นที่บ้านเราก็ไม่ยาก เเต่ออกนอกสถานที่ เราเลยสร้าง "ห้องมืดเคลื่อนที่"ขึ้นมา ซึ่งข้อจำกัดคือการเคลื่อนย้ายเเละพับเก็บได้นั่นเอง โชคดีโจ้ไปเจอตู้สีดำในโลตัส เราจึงเอามาโมดิฟายด์กันจนใช้งานได้ เเละที่สำคัญ กล่องดำนี้สามารถพับได้ จึงเหมาะกับภาระกิจนี้พอดี (จะเห็นภาพประกอบการพับเข้าไปด้านใน) ตอนยกเข้าด่านตรวจก็อธิบายกับพี่ๆผู้ดูเเล ดีใจที่อนุญาติโดยดี








สารเคมี คือต้องนำไปผสมสดๆ ซึ่งเเดดบ้านเราใครก็รู้ว่าร้อนขนาดไหน ต่างชาติเค้าถ่ายสบายๆเพราะอากาศเย็น เเต่บ้านเราสารเคมีโดนความร้อนก็ละเหยได้ สิ่งที่เราทำคือ นำสารเหล่านี้ใส่กล่องโฟมเเละใส่น้ำเเข็งไป เเละพยายามควบคุมอุหภูมิให้เสถียรตลอดเวลา ซึ่งฮิ้วดูเเลรับผิดชอบตรงนี้ไป ตอนอธิบายให้พี่ๆฟังก็ยืนฟังสนุกกันหลายท่าน คุณฮิ้วคือหนึ่งในความอุ่นใจที่สุดของการไปทำภาระกิจครั้งนี้ เพราะคุณฮิ้วคือยอดฝีมือที่เก่งที่สุดที่เราเคยพบเจอมาในเรื่องการถ่ายภาพเเบบ wetplate เพราะทำมานานมาก เเละรู้เรื่องสารเคมีเเบบสุดยอด หลายๆคนคงรู้จักเเล้วจากการที่เราเเนะนำไปหลายครั้งว่า คุณฮิ้วคือหนึ่งในทีมที่ถ่ายฟิล์มกระจก ในหนังเรื่อง wonder woman คนนี้ไม่ธรรมดา ดีใจมากที่มาร่วมทีมกันครั้งนี้
เอาจริงๆเราก็เตรียมใจคิดว่าเราอาจจะไม่ได้เข้าไปทำเพราะดูมันเเบบ สารเคมี ซึ่งสารเหล่านี้ก็มีสารที่เป็นส่วนประกอบในการสร้างระเบิด หรือสารอันตรายต่างๆ คือก็คิดกันไว้ว่า เราอยากมาในฐานะบุคคลทั่วไปไม่อยากไปวุ่นวายใครไม่อยากติดต่อให้ใครช่วยหรือใช้เส้นสายที่มี อยากมาเป็นประชาชนคนนึงที่ได้สิทธินี้น่าจะดีที่สุด ก็ผ่านไปนั่งรอได้เเต่โดยดี เเต่เอาจริงๆ เรามีการซ้อม คุย วาดเเผนที่กันไว้ก่อนหลายรอบว่าจะอย่างไร เพราะมาดูที่เเล้วถึง 2 ครั้ง ด้วยกล้อง large format ขนาด 4x5 ถ่ายด้วยฟิล์มปกติไปเเล้ว ซึ่งเราว่าถ้าเเค่นั้นเด็กๆมากสำหรับพวกเรา
ทีนี้พอถึงคิวเข้าไป สิ่งเเรก เราเเยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มเเรกไปเซ็ตกล้อง มุมที่จะถ่าย อีกกลุ่มคือการไปขออนุญาติใช้มุมที่ปลอดคนซักมุมเล็กๆเพื่อเซ็ตอัพห้องมืดเคลื่อนที่ ซึ่งพอเล่า เเละเปิดรูป ตัวอย่าง งานที่ผ่านมาให้พี่ๆที่ดูเเลดู ทุกคนยินดีมาก ถึงขนาดมีพี่คนนึงช่วยยืนเฝ้าให้เลย อาจเพราะทราบว่านี่เป็นกระบวนการล้ำค่ามาก ก็เลยโชคดีในจุดที่เรากลัวที่สุดไป โจ้ก็เริ่มการเเกะกล่องดำที่โมดิฟายด์มา เอาสารเคมีต่างๆออกมาจัดให้เป็นระเบียบ ปูผ้าไม่ให้คราบสารหกเลอะที่พื้น
น้ำยาเเละสารเคมีถูกนำออกมาเรียง ผมทำหน้าที่ฉาบน้ำยาที่เรียกว่า collodian ลงบนกระจก สารเคมีบางตัวในนี้มีสารอันตรายอยู่ต้องระวังเข้าผิวหนัง การเคลือบกระจกนี้ก็หนึ่งในกระบวนการที่ทำให้กระจกที่เเสงผ่านได้ (ยุค100กว่าปีก่อนไม่มีพลาสติกที่ทำเเผ่นฟิล์ม สิ่งโปร่งใสที่สุดคือกระจกนั่นเอง) การเคลือบนี้เหมือนฉาบกาวให้กระจก ก่อนที่จะเเช่ลงในถัง ที่ใส่ ซิลเวอร์ ไนเตรท หรือคนไทยเรียกกันว่า ปรอท หรือ เกลือเงินนั่นเอง









พอฉาบเสร็จ เรามีเวลาเเค่ 3 นาที ในการทำให้กระจก+น้ำยา ทำปฏิกริยาจนการเป็นเเผ่นไวเเสง หรือ ฟิล์มกระจกนั่นเอง มันคือการ "ผลิตฟิล์มสดเเผ่นต่อเเผ่น" เวลานี้ ก้ต้องกลับไปที่กล้อง เพื่อดูมุมอีกรอบ
วนกลับมาบริเวณกล้องที่ตั้งไว้ คนคงงงว่านี่อะไร ก็มามุง มาถ่ายรูป มาคลุมผ้าดูกัน ถามไถ่ว่ากล้องใช้ได้อยู่เหรอ บางคนก็วานให้ถ่ายรูปกับกล้องให้ ก็สนุกดีที่คนสนใจศาสตร์โบราณนี้ เเต่อย่าลืมนะ เรามีเวลา 3 นาที!!! ในระหว่างที่กระจกจะกลายเป็นฟิล์ม อย่างเพิ่งมุง !!! ขอทำภาระกิจสำคัญของชีวิตก่อน
พอครบเวลา โจ้ก็จะนำกระจกออกจากถังเเช่ ทีนี้กระจกก็เป็นฟิล์มเเล้ว ดังนั้นห้ามโดนเเสงเด็ดขาด เพราะจะเสียไปเลย เเล้วต้องเริ่มทำใหม่ ก็ต้องใช้สมาธิมาก ที่จะนำฟิล์มใส่ใน holder ที่โมดิฟายด์สำหรับใส่กระจก เเละวิ่งมาส่งก่อน "กระจกจะเเห้ง" เพราะคำว่า ฟิล์มกระจกเปียก หรือ wetpalet มันคือ เปียก เเละ wet เเปลว่า ถ้าฟิล์มเเห้ง ก็จะเสียเช่นกัน ดังนั้น อีกอุปสรรคนึงคือ การนำฟิล์มฝ่าฝูงชนไปยังกล้องให้ทันก่อนกระจกเเห้งนั่นเอง!!!
พอฟิล์มมาที่นี้ก็ถึงคราวถ่ายหละ อีกความบ้าอย่างของฟิล์มกระจกคือ iso นั้นจะประมาณ iso 1 ไปจน ถึง iso -17 เนื่องจากในยุคนั้นอาจจะไม่มีเทคโนโลยีที่สร้างสารไวเเสงในเเบบปัจจุบัน เเบบ iso 100 -iso 6400 เลยพอเข้าใจว่าทำไมสมัยก่อนถึงต้องนั่งนานๆ รูปที่เราเห็นสมัย ร.๔ นั่งกันเกือบ ชั่วโมงนะจากจดหมายเหตุเล่า อันนี้สารสูตรเราผสมได้ iso 1 คำนวนเเสงคร่าวๆด้วยตาวัดเเสงเเบบ zone system ได้เวลาการเปิดชัตเตอร์ประมาณ 15 วินาที จากการใช้ รูปรับเเสงหรือ f-stop 32 คือเเคปมาก ซึ่งมีอีกเรื่องคือ กล้องไม่มีชัตเตอร์ ดังนั้นการกดถ่าย คือการเปิดฝาผิดหน้าเลนส์โดยการกะเวลาเอง ก็นับไป พลาดไป 1 วิ ก็เสียทันที ดูสิ ในยุคสมัยก่อน การพลาดเเทบไม่มีเลย เเถมมีโอกาสถ่ายภาพสำคัญเเค่ 1 ช๊อตเท่านั้นด้วย
พอถ่ายเสร็จก็ต้องรีบเอาholderที่มีกระจก ไปใส่ในห้องมืด เเล้วเเกะกระจกออกมาล้างน้ำยาสดๆ ซึ่งก็เหมือนการอัดขยายภาพเเหละ มี develop , stop , fixer เเค่ต่างตรงการผสม เพราะของสมัยนี้ก็คือการพัฒนาจากยุคนั้นนั่นเอง
ขั้นตอนสุดท้ายคือ fixer เจ๋งตรงสามารถ เอาออกมาราดน้ำยาในที่มีเเสงได้ เเละขั้นตอนนี้นี้เเหละที่หลายคนเรียกว่า "เวทย์มนต์" เพราะฟิล์มที่ออกมาจะเป็น negative หมายถึงกลับข้าง ดำขาว เเต่พอราดน้ำยาตัวนี้ลงไป ก็จะกลับไปเป็น positive หรือ ภาพเสมือนจริงทันที ลองคิดดูสิว่าเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ที่เราไม่ได้มีกล้องกันทุกคนเเบบสมัยนี้ การเป็นอะไรเเบบนี้ มันคือ สิ่งเหนือธรรมชาติเลยนะ การเห็นภาพลงบนกระจกมันเหมือนการย้านวิณญาณเลย เเถมสามารถดูได้เป็นภาพเลย ความเจ๋งคือ ใช้เป็นภาพดูเลยก็ได้ ใช้เป็นฟิล์มสำหรับอัดขยายก็ได้ เป็น negative เเละ positive ในเเผ่นเดียวกันนั่นเอง
เย่!!! ภาพเเผ่นเเรกของพระเรุมาศที่ถ่ายในปี 2017 ด้วยเทคนิคจากปี 1850 สำเร็จสมบูรณ์ 100% มันไม่ฟลุ๊คเพราะเราซ้อมเเล้วซ้อมอีก ภาพคมชัดมาก เพราะถ้าเทียบกับกล้องดิจิตอล เซ็นเซอร์ของกล้องตัวนี้ใหญ่ขนาด 5x7 นิ้วไง
เสร็จเเล้วก็ต้องเเช่น้ำเพื่อชำระล้าง เเละรอเเห้ง เเต่ไม่จบ การถ่ายไม่ได้จบที่ได้ภาพ การรักษาดูเเล จนถึงบ้านต่างหากคือการจบจริงๆ เราถ่ายกันมา 4 เเผ่น ซึ่ง เราไม่สามารถมั่นใจกับการเก็บใส่อะไรได้ ดังนั้น การเคลื่อนย้ายที่ดีที่สุดคือ การ "ถือด้วยมือ" จนกว่าจะถึงบ้านนั่นเอง เราเดินถือกระจก ผ่านผู้คน ด้วยความรู้สึก รัก ถนอม เเละดูเเลมากๆ ออกจากพระเมรุ ไปเรียนกเเท๊กซี่ ซึ่งนานมาก เเละรถติดมากๆ นึกถึงการฉีกมือกว้างเพื่อถือกระจกเป็นเวลา 4 ชั่วโมงกับการจราจรในกรุงเทพสิ โอย สุดๆ เเละกระจกทั้ง 4 เเผ่น ก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
เราทำความสะอาด เช็ด เคลือบด้วยวิธีการที่ถูกต้อง สเเกนเก็บเป็นไฟล์ไว้ตามหลักมิวเซียม เก็บไส่กล่องปลอดภัยที่เตรียมไว้ รอยที่อยู่บนกระจก คือรอยนิ้วมือผม ที่สามารถตรวจได้จาก dna นั่นเอง เห็นมะ วิธีนี้ล้ำมาเป็นร้อยปีเเล้ว ในการเช็คไฟล์ว่าใครเป็นคนถ่ายตรวจจากรอยนิ้วมือ
เราดีใจที่การถ่ายครั้งนี้ได้สร้างหนึ่งในสมบัติของประเทศ กราบขอบพระคุณทุกท่าน ที่เป็นกำลังใจ รอชม คอยให้ความรู้ปรึกษา สนับสนุนทั้งทางตรงเเละทางอ้อม เราไม่คิดว่า การออกไปถ่ายครั้งนี้ เรากดชัตเตอร์เพียงเเค่ 4 ครั้ง เเละได้ภาพที่ใช้ได้หมดไม่มีเสียทั้ง 4 ภาพ ในยุคที่เราสามารถกดภาพได้เป็นหมื่นภาพในไม่กี่นาที เเต่เราเลือกวิธีที่โบราณต้องใช้ความระมัดระวัง เเม่นยำ เเละฝึกฝนมากสุดวิธีนึงมาเก็บภาพที่ล้ำค่านี้
สิ่งที่ผมรัก ศรัทธาเเละทึ่งในกระบวนการภาพถ่ายฟิล์มกระจกเปียกนี้คือ ผมคิดว่า "ทุกอย่างของการถ่ายภาพมันจบมาเป็นร้อยปีเเล้ว" ทั้งกล้องที่ฟังชั่นเยียม ความคมชัดที่ยุคนี้ก็ยังทำไม่ได้ ความรวดเร็วได้การถ่ายเเละอัดภาพที่สามารถดูได้เลยตรงนั้น เร็วเเละมาก่อนโพราลอยด์อีก ความรู้สึกตะลึงเวลาที่ภาพเปลี่ยน เเละการทำซ้ำไม่ได้จนเป็นออริจินอล เราจะพัฒนาต่อไปให้ดีกว่าเดิมในทุกวัน
ท้ายสุดนี้ การถ่ายภาพที่มีค่าที่สุดในชีวิตนึงของพวกเรานี้ ทางเเอร์เเล็บจะมอบภาพให้เเก่หอจดหมายเหตุ เเละสำนักพระราชวัง เพื่อเป็นข้อมูลในอนาคตต่อไป"



ที่มาและภาพ AIRLAB